oHLa’s Journal :: บันทึกมนุษย์แม่ ตอนที่ 1 กว่าจะท้อง

สวัสดีอีกครั้งค่ะเพื่อนๆ เราห่างหายไม่ได้อัพเดทบล็อกกันไปร่วมครึ่งปีเลยนะเนี่ย วันนี้มาเขียนเล่าเรื่องมนุษย์แม่ให้อ่านกันค่ะ บางคนอาจจะพอจำกันได้ว่าเมื่อช่วงกุมภา 59 เก๋เคยอัพบล็อกความรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดเนื้องอกที่มดลูกไว้ ซึ่งหลังจากที่ผ่าตัดไปนานร่วม 7 เดือน เป็นช่วงที่ประจำเดือนของเก๋หายไปเลยค่ะ ตอนนั้นค่อนข้างกังวลมากว่าร่างกายเราผิดปกติอะไรรึเปล่า? คุณหมอเองก็นัดดูอาการอยู่ตลอดช่วงแรกหลังผ่าตัดนัดทุกๆ 2 สัปดาห์ ตอนหลังก็ขยับมาเป็นนัด follow up ทุกๆเดือน จนคุณหมอเองเอ่ยปากว่าถ้าวางแผนจะมีลูกก็ลองดูแนวทางการทำกิฟท์หรืออะไรแนวๆนี้ไปเลยก็ได้

ตอนนั้นเก๋บอกคุณหมอไปว่าอยากให้ร่างกายทำงานปกติก่อนค่อยคิดเรื่องมีลูกอีกที ฉะนั้นก็จะรอให้ประจำเดือนมาก่อนค่ะ รอแล้วรอเล่าจนย่างเข้าเดือนที่ 6 ก็เริ่มรอไม่ไหว แอบหายาจีนมาทาน ปรึกษากับหมอยาจีนว่าประจำเดือนเราหายไปหลังผ่าตัด และเราก็กำลังวางแผนจะมีลูก หมอยาจีนก็ให้ยามาทาน 2 ชนิด คือ แบบน้ำสำหรับช่วยขับของเสียที่ค้างในร่างกายหลังผ่าตัด กับ ตังกุยบดแบบแคปซูล ทานไปได้ 1 เดือนเศษๆ ประจำเดือนก็มาตามปกติ ตอนนั้นดีใจสุดๆเลยล่ะ พอประจำเดือนมาแล้วก็กลับไปหาหมอสูติฯที่ผ่าตัดเนื้องอกตามนัด คุณหมอก็บอกว่าโอเคประจำเดือนมาแล้ว งั้นหลังจากนี้เราก็นัด follow up กันอีกสักระยะ ระหว่างนี้ก็ให้ลองดูวิธีธรรมชาติไปก่อน ถ้าไม่ได้ค่อยมาว่ากันเรื่องการทำกิฟท์อีกที

พอเดือนตุลาคม เราก็ลองใช้ที่ตรวจปัสสาวะดู ปรากฏว่า …. ท้องแล้วค่ะ ใช้วิธีธรรมชาติ คู่กับพยายามทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ และทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และเพื่อความมั่นใจเราก็กลับไปที่โรงพยาบาลขอเจาะเลือดตรวจอีกครั้ง (ที่ รพ.รามาฯ รอผลเลือด 2 วัน แล้วจะมีเจ้าหน้าที่โทรแจ้งค่ะ)

เมื่อผลเลือดออกมาตรงกับผลปัสสาวะ ก็ต้องรีบนัดฝากครรภ์แต่เนิ่นๆ เพราะเก๋เองก็อายุไม่น้อยแล้วล่ะค่ะ (ตอนเริ่มท้องก็ 37 กำลังย่างเข้าปีที่ 38 แล้ว) เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ตอนอายุมากกว่า 35 ความเสี่ยงก็มีมากขึ้นด้วย เก๋ฝากครรภ์กับคุณหมอที่ผ่าตัดเนื้องอกมดลูก เพราะกรณีของเก๋เคยผ่าตัดมดลูกมาก่อนแล้ว ฉะนั้นจะคลอดวิธีธรรมชาติไม่ได้เนื่องจากมีความเสี่ยงว่ามดลูกอาจจะปริแตกหากเราต้องเบ่งคลอดแรงๆ เมื่อแนวทางมาว่าเราต้องผ่าตัดแน่ๆทางที่ดีที่สุดก็ควรกลับไปหาคุณหมอที่เคยผ่าตัดให้เรามาก่อนหน้านี้ เพราะเป็นเคสต่อเนื่องกัน ทำให้คุณหมอเข้าใจเคสได้ง่ายขึ้นด้วย

การนับระยะเวลาตั้งครรภ์จะเริ่มนับจากวันแรกที่ประเดือนมาครั้งสุดท้าย นั่นหมายความว่าเรานับย้อนไปก่อนระยะไข่ตก และก่อนที่จะเกิดการปฏิสนธิ ซึ่งผู้หญิงแต่ละคนอาจจะมีระยะไข่ตกที่ไม่สม่ำเสมอ โดยประมาณแล้วไข่จะตกในช่วงสัปดาห์ที่ 2 หลังจากหมดประจำเดือน แต่บางคนก็อาจจะก่อนหรือหลังจากนั้นก็ได้ นั่นก็เชื่อมโยงกับการที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอด้วยเช่นกัน รอบเดือนของบางคนก็มากน้อยต่างกันไป อ่านเพิ่มเติมเรื่องระยะไข่ตกได้ที่นี่ ฉะนั้นทางที่ดีควรจดบันทึกวันที่มีรอบเดือนเก็บไว้อย่างสม่ำเสมอ จะได้คำนวนระยะไข่ตกที่แม่นยำได้ หรือไม่อย่างนั้นก็อาจจะลองใช้ตัวช่วย อย่างแผ่นทดสอบวัดไข่ตก หรือการวัดอุณหภูมิร่างกายควบคู่กันไปด้วยก็ได้

ultrasound-2-nov-16

ภาพอัลตราซาวน์ครั้งแรก อายุครรภ์ 6 สัปดาห์

อาการระหว่างไตรมาสแรก

หลายคนค่อนข้างกังวลเรื่องอาการแพ้ท้อง เก๋เองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะส่วนตัวแล้วเคยเป็นโรคกระเพาะเมื่อสมัยเรียน แล้วโรคกระเพาะเกี่ยวกับแพ้ท้องยังไง? … อย่างนึงที่เหมือนกันแน่ๆคือการอาเจียน เก๋ไม่ชอบการอาเจียนเอามากๆ เพราะมันไม่แค่คลื่นไส้ แต่มันรู้สึกไม่สบายตัว ไม่สบายท้อง ผะอืดผะอมไปหมด ช่วงแรกที่รู้ว่าท้องก็คอยถามเพื่อนผู้มีประสบการณ์ว่ามีอาการแบบไหนกันบ้าง และก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าอาเจียน อย่าคลื่นไส้เลยนะ เป็นสิ่งที่ไม่ชอบจริงๆ

ช่วงสัปดาห์ที่ 4-5 จะง่วงนอนหนักๆ ง่วงทั้งวัน พร้อมนอนตลอดเวลา ไม่มีอาการอื่น

สัปดาห์ที่ 5-6 เริ่มเหม็นของบางอย่าง อย่างน้ำหอมนี่ฉีดไม่ได้รู้สึกว่ามันฉุนไปหมด ประสาทรับกลิ่นดีมาก อาหารมันๆ พวกเนื้อสัตว์ที่มีกลิ่นคาวไม่แตะเลย หนังไก่ ปลาต้ม มันหมู หอยนางรมแม้จะทอดมาแล้วก็กินไม่ได้เพราะเนื้อสัมผัสมันยุ่ยๆหยึ๋ยๆ ทานแล้วจะผะอืดผะอมมาก เริ่มมีอาการท้องอืดบ้าง ตัวรุมๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว อึดอัดไม่สบายตัวตลอดเวลา

สัปดาห์ที่ 6-8 อาการคล้ายๆกับสัปดาห์ที่ 5-6 แต่อยู่ในระดับที่เพิ่มมากขึ้น รู้สึกเฝื่อนๆขมๆในปาก ต่อมรับรสเค็มได้ดีมากเกินไป อะไรที่เค็มนิดเดียวของคนทั่วไปเราจะรู้สึกว่ามันเค็มมากๆทานไม่ได้เลย รวมถึงอาการท้องอืดที่หนักมากขึ้นจนนอนไม่ได้ ต้องเอาหมอนหลายๆใบมาหนุนสูงๆ กึ่งนอนกึ่งนั่ง

สัปดาห์ที่ 9 อาการทุกอย่างยังอยู่ครบ รวมถึงเรื่องท้องอืด ของคาวๆยังคงกินไม่ได้อยู่ ต่อมรับรสเค็มยังคงระดับเท่าๆวีคก่อน แต่เพิ่มเติมเรื่องต่อมรับรสหวานด้วย อะไรหวานๆก็ทานไม่ได้อีก ท้องอืดน้อยลงหน่อยนึง มีเพิ่มคือมีอาเจียนไป 1 ครั้ง แต่อันนี้ไม่แน่ใจว่าเพราะนม เพราะแคลเซียมหรือเพราะอะไร

สัปดาห์ที่ 10-12 ท้องอืดแบบพีคสุดๆ ทานน้อยทานมากก็ท้องอืดเท่ากัน เรอสม่ำเสมอทั้งวัน นอนไม่ค่อยได้เพราะอาการท้องอืด คุณหมอเองก็เคยบอกไว้ว่าฮอร์โมนแม่ๆจะพีคและออกอาการที่สุดช่วงสัปดาห์ที่ 10 นี่ล่ะ มันตรงเป๊ะจริงๆ

หลังจากสัปดาห์ที่ 12 แล้วอาการต่างๆก็เริ่มทุเลาลงเรื่อยๆจนแทบจะเป็นปกติ ในขณะที่พุงก็เริ่มขยายมากขึ้นๆ

ระหว่างช่วงไตรมาสแรกคุณหมอจะนัดค่อนข้างถี่ในช่วงต้นๆ เพื่อดูความสมบูรณ์ของตัวอ่อน และในเดือนที่ 2 คุณหมอนัดเจาะเลือดเพื่อดูความพร้อมและความเสี่ยงต่างๆด้วย  จำได้ว่าเจาะเลือดไปทั้งหมด 7 หลอดแน่ะ ผลเลือดออกมาผ่านฉลุย

ยาต่างๆ และวิตามิน 

ใครมีโรคประจำตัว หรือต้องทานยาอะไรให้ถามคุณหมอสูติเลยนะคะว่าอันไหนทานได้ทานไม่ได้ เพราะว่าสิ่งที่เราทานเข้าไปนั้นจะส่งผลโดยตรงกับเด็กในท้อง ฉะนั้นอย่าทานยาซี้ซั้วค่ะ แม้แต่พาราฯ หรือยาอะไรที่เราคิดว่ามันเป็นยาสามัญ น่าจะทานได้ก็ต้องถามคุณหมอไว้ก่อนเพื่อความแน่ใจ

ส่วนวิตามินเสริมที่ทานในไตรมาสแรกคุณหมอจะเน้นให้ทานเฉพาะ Folic เท่านั้น ซึ่งตอนแรกเก๋ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่ทานแคลเซียมควบคู่ไปด้วย ก็ได้คำตอบจากคุณหมอว่าการทานแคลเซียมนั้นมีผลข้างเคียงคือทำให้คลื่นไส้อาเจียนได้มากขึ้น บวกกับในช่วงไตรมาสแรกคุณแม่จะมีอาการแพ้ท้องมาก และตัวอ่อนยังไม่ต้องดึงแคลเซียมไปใช้ในการพัฒนาการเติบโตมากนัก ฉะนั้นรอให้พ้นช่วง 12 สัปดาห์แรกไปก่อนก็ค่อยเริ่มทานแคลเซียมและวิตามินอื่นเสริมก็ได้

blackmores-folic-acid-90-tabletsพวกอาหารเสริมอื่นๆ วิตามินสำหรับผิวขาวสวยอะไรทำนองนี้ก็เก็บเข้ากรุไปก่อน หรือไม่ก็ยกให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆไปเลยนะคะ แม้แต่พวกไฟเบอร์ที่ช่วยให้ขับถ่ายคล่องๆก็พักไว้ก่อน ถ้ามีอาการท้องผูกจริงๆก็ให้คุณหมอเจ้าของเคสจ่ายยาให้ดีที่สุดค่ะ อย่างของเก๋คือขอยาแก้ท้องผูกและแก้ท้องอืดมาเผื่อ คุณหมอก็จ่ายยา Senokot แบบเม็ดมาให้ กับ Air-X ซึ่งสุดท้ายก็เอามาพกไว้ให้อุ่นใจเท่านั้นแหละค่ะ อาการไม่หนักหนาสุดๆเก๋ก็พยายามเลี่ยงไม่ทานดีกว่าครีมบำรุง หัวข้อเรื่องครีมบำรุงนี่เก๋ถามคุณหมอซ้ำๆเดิมทุกครั้งที่ไปพบหมอเลยค่ะ (คิดว่าคุณหมอคงจะเหนื่อยใจกับคนไข้คนนี้แน่ๆ ถามอยู่ได้เรื่องเดิมๆ 5555) คำตอบที่เก๋ได้จากคุณหมอคือ การทาครีมบำรุงต่างๆที่อยู่ในหมวดเครื่องสำอางสามารถทาได้ตามปกติ เพราะเมื่อผลิตภัณฑ์นั้นถูกจัดไว้ในเครื่องสำอางค์นั่นก็หมายความว่าปลอดภัยในระดับที่ผู้บริโภคทั่วๆไปใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็น whitening หรือแม้แต่ครีมแต้มสิวก็ทาได้ เพราะอัตราการซึมลงสู่ผิวและส่งผลต่อทารกนั้นอยู่ในสัดส่วนที่น้อยมาก แต่ถ้าครีมที่ทานั้นอยู่ในหมวดเวชสำอางค์ หรือมีความเข้มข้นสูงๆ อย่างเช่นพวก retin a หรือสารผลัดเซลล์ผิวอย่างเช่น AHA, BHA ที่มี % สูงๆก็ต้องงดไปก่อน และอีกส่วนที่สำคัญคือ การเลือกใช้ครีมบำรุงจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือ เพราะยุคนี้ครีมบำรุงที่ไม่ได้มาตรฐานก็มีขายกันเกลื่อนเลยเหมือนกันส่วนพวกการย้อมสีผม ดัดผม ตรงนี้ไม่ได้มีงานวิจัยมารองรับหรือฟันธงว่ามันอันตราย แต่ถึงอย่างนั้น คุณหมอก็แนะนำให้เลี่ยงไปก่อน เพราะลองมานั่งคิดๆดูว่าที่ไม่มีงานวิจัยนี่ก็เพราะคนท้องที่ไหนจะกล้าเอาตัวเองไปเป็นหนูทดลอง เอาชีวิตลูกในท้องไปเสี่ยงถูกมะ?